ข้อกำหนดและเงื่อนไขการให้บริการไลน์ เพย์สำหรับร้านค้า ("ข้อกำหนดของร้านค้า") นี้ ใช้บังคับระหว่าง บริษัท ไลน์ เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (ทะเบียนเลขที่ 0135554009220) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ("บริษัท") กับ บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของร้านค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (“ร้านค้าออนไลน์”) และ/หรือร้านค้าแบบมีหน้าร้าน (“ร้านค้าออฟไลน์”) ("ร้านค้า") โดยข้อกำหนดของร้านค้าจะก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่และผลผูกพันทางกฎหมายให้บริษัทและร้านค้าต้องปฏิบัติตาม (ในสัญญานี้ ให้เรียกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่า "คู่สัญญา" และทั้งสองฝ่ายรวมกันว่า "คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย")
ข้อกำหนดของร้านค้านี้จะใช้บังคับกับ (i) บริการการรับชำระเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แทนร้านค้า (ii) บริการสนับสนุนบริการแก่ผู้รับบัตรผ่านระบบรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และ/หรือ (iii) บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริการการรับชำระเงินอื่นใด ซึ่งจัดทำโดยบริษัท (รวมเรียกว่า "บริการการชำระเงิน") ให้กับร้านค้า สำหรับการชำระเงินใดๆ ที่ผู้ชำระเงินของร้านค้าได้ชำระผ่านช่องทางการชำระเงินที่บริษัทเป็นผู้ให้บริการในการรับชำระเงินและ/หรือการรับชำระเงินแทน ("ผู้ชำระเงิน") สำหรับจำนวนเงิน ("มูลค่าธุรกรรม") ที่ถึงกำหนดชำระให้แก่ร้านค้า สำหรับธุรกรรมการซื้อสินค้า บริการ และ/หรือ เนื้อหาเกี่ยวกับดิจิตอล ("สินค้า/บริการ") ที่ร้านค้าได้จำหน่าย/ให้บริการ
("ธุรกรรม")
ร้านค้ารับทราบและตกลงที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดของร้านค้านับตั้งแต่วันที่ยื่นคำขอสมัครใช้บริการกับบริษัท และตกลงที่จะหยุดใช้บริการทันที หากร้านค้าไม่ตกลงตามข้อกำหนดของร้านค้า ทั้งนี้ การใช้หรือจะใช้บริการต่อไป ถือว่าร้านค้ายอมรับและตกลงที่จะผูกพันตามข้อกำหนดของร้านค้า ซึ่งรวมถึงการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงใดของข้อกำหนดของร้านค้านี้ที่อาจมีขึ้นในภายหลัง ข้อกำหนดของร้านค้าสามารถสืบค้นได้ที่เว็บไซต์ https://terms2.line.me/paymerchant_TOS_TH?lang=th เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัย บริษัทไม่ได้ทำหน้าที่เป็นองค์กรเพื่อให้บริการชำระหนี้ เพียงแต่ให้บริการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ทั้งนี้การชำระหนี้ และการโอนเงินทั้งหมดจะต้องดำเนินการโดยสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องหรือธนาคาร ซึ่งบริษัทจะระบุรายละเอียดเป็นครั้งคราว
1. คำขอ การตรวจสอบและการเริ่มต้นใช้งาน
1.1 ร้านค้าซึ่งจำหน่ายสินค้า/บริการอันเป็นทรัพย์สินของตนยื่นใบสมัครเพื่อขอใช้บริการการชำระเงินของบริษัทตามระเบียบที่บริษัทกำหนด (“คำขอ”) โดยการสมัครขอใช้บริการที่บริษัทจัดไว้ให้ ร้านค้าตกลงที่จะยอมรับและผูกพันตามข้อกำหนดของร้านค้า
1.2 ร้านค้าจะต้องจัดหาข้อมูลที่สำคัญทั้งหมดตามที่บริษัทต้องการให้กับบริษัท เมื่อสมัครขอใช้บริการการชำระเงินที่จัดให้ ซึ่งประกอบไปด้วย
1.2.1 รายละเอียดของร้านค้า รวมถึงข้อมูลเจ้าของร้านค้า หรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนร้านค้า บุคคลติดต่อของร้านค้า
1.2.2 ขอบเขตและวัตถุประสงค์ของธุรกรรมซึ่งร้านค้าจะเสนอจำหน่าย/ให้บริการ
1.2.3 ข้อมูลเกี่ยวกับใบรับรองที่เกี่ยวข้องกับการได้รับอนุมัติตามกฎระเบียบสำหรับการประกอบธุรกิจของร้านค้า (ถ้ามี)
1.2.4 คำอธิบายรายละเอียดของสินค้า/บริการ ที่จำหน่ายหรือให้บริการ และ
1.2.5 นโยบายภายในของร้านค้าเพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องการฉ้อโกง การฟอกเงิน และการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย รวมถึงนโยบายการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าธุรกรรมที่ได้ทำผ่านร้านค้านั้นเป็นธุรกรรมที่แท้จริง กระทำโดยสุจริต และไม่ผิดกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี
1.3 บริษัทอาจจะขอข้อมูลและเอกสารเพิ่มเติมจากร้านค้า ซึ่งบริษัทเห็นว่าจำเป็นในการสมัครใช้บริการการชำระเงิน (“เอกสารประกอบคำขอ”) (ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำขอ) เป็นครั้งคราวไป ร้านค้ารับประกันและรับรองว่าข้อมูลทั้งหมดที่ได้ให้ไว้กับบริษัทนั้น เป็นข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน ร้านค้าจะต้องแจ้งต่อบริษัทในทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ ในข้อมูลที่ร้านค้าได้ให้ไว้กับบริษัท ในกรณีที่ร้านค้าไม่สามารถที่จะแจ้งให้บริษัททราบถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในข้อมูลที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ภายในระยะเวลาอันสมควร หรือข้อมูลที่ร้านค้าให้ไว้ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นความจริง บริษัทอาจจะปฏิเสธคำขอ ระงับ และ/หรือยกเลิกข้อกำหนดทั้งหมดหรือบางส่วนในการให้บริการการชำระเงินแก่ร้านค้า โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
1.4 บริษัทมีดุลยพินิจเด็ดขาดแต่ผู้เดียวในการพิจารณาว่าจะอนุมัติคำขอที่ร้านค้าได้ยื่นขอสมัครใช้บริการการชำระเงินของบริษัทหรือไม่ก็ได้ และไม่มีหน้าที่ที่จะเปิดเผยกระบวนการในการพิจารณาคำขอแก่ผู้ยื่นคำขอใดๆ บริษัทจะไม่รับผิดชอบในการสูญหายหรือความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการที่ผู้ยื่นคำขอไม่ผ่านกระบวนการพิจารณา
1.5 ร้านค้าจะสร้างบัญชีของตนเอง ("บัญชีใช้บริการ") และรหัสผ่านสำหรับการใช้บริการการชำระเงิน ร้านค้าสามารถใช้บริการเมื่อบริษัทได้อนุมัติคำขอและภายหลังจากที่ร้านค้าได้สร้างบัญชีใช้บริการแล้ว
2. ข้อตกลงของร้านค้าฉบับนี้
2.1 บริษัทจะต้องให้บริการการชำระเงินด้วยความระมัดระวังและความเชี่ยวชาญตามสมควร และเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนโยบายความเป็นส่วนตัวสำหรับร้านค้า
2.2 ร้านค้ารับทราบและตกลงว่า ร้านค้ามีสิทธิที่จะใช้บริการการชำระเงินในการรับชำระเงินจากมูลค่าธุรกรรมที่ผู้ชำระเงินได้ชำระผ่านช่องทางการชำระเงินต่างๆ ซึ่งรวมถึง กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ และ/หรือ บัญชีธนาคาร และ/หรือ บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต (“บัตรเครดิต”) ทั้งนี้ ตามที่บริษัทกำหนด
2.3 ร้านค้ารับทราบและตกลงว่าความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างผู้ชำระเงินและร้านค้าในส่วนข้อกำหนดที่เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ในการทำธุรกรรม วิธีการทำธุรกรรม และข้อกำหนดและการดำเนินการหรือการไม่ดำเนินการของธุรกรรม (รวมถึง แต่ไม่จำกัดเฉพาะ การปฏิเสธที่จะดำเนินการ ความล่าช้า การไม่ส่งมอบ ความชำรุดบกพร่อง ความผิดพลาด การคืนหรือเปลี่ยนสินค้า/บริการ และการคืนเงิน) เป็นข้อตกลงที่มีขึ้นระหว่างผู้ชำระเงินกับร้านค้าเท่านั้น โดยสิทธิและหน้าที่ทั้งหมด และความรับผิดที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมนั้น จะเป็นการบังคับใช้ ปฏิบัติ และรับผิดชอบระหว่างผู้ชำระเงินและร้านค้า ตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและมีการบังคับใช้ และตามข้อตกลงของผู้ชำระเงินกับร้านค้า บริษัทจะรับผิดชอบเพียงขอบเขตของการให้บริการตามข้อกำหนดของร้านค้าฉบับนี้ และข้อกำหนดและเงื่อนไขการให้บริการอื่น (ถ้ามี) เท่านั้น
2.4 ร้านค้าตกลงว่า การให้บริการการชำระเงินของบริษัทไม่ได้กระทำการในฐานะเป็นตัวการ แต่เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกแก่ร้านค้า เพื่อให้ร้านค้าเข้าทำธุรกรรมกับผู้ชำระเงินเท่านั้น ร้านค้าตกลงให้บริษัทดำเนินการในฐานะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการรับชำระเงินและโอนมูลค่าธุรกรรมที่เกี่ยวข้องที่ชำระโดยผู้ชำระเงินให้แก่ร้านค้า สำหรับการซื้อขายสินค้า/บริการระหว่างผู้ชำระเงินกับร้านค้า และบันทึกข้อมูลของธุรกรรมนั้น ร้านค้าสละสิทธิที่จะเรียกร้องต่อบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดำเนินการหรือไม่ดำเนินการเกี่ยวกับธุรกรรมใดๆ ระหว่างผู้ชำระเงินกับร้านค้าซึ่งดำเนินธุรกรรมผ่านบริการการชำระเงินของบริษัทที่จัดทำให้แก่ร้านค้า
2.5 ร้านค้ามีความรับผิดชอบตามกฎหมายและมีหน้าที่แต่เพียงฝ่ายเดียวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจาก (1) นิติสัมพันธ์ตามสัญญากับผู้ชำระเงิน รวมถึงสิ่งที่ได้มาจากสิทธิและความรับผิดชอบใดๆ การรับประกันในเรื่องความชำรุดบกพร่องและสิทธิทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่มีระหว่างร้านค้ากับผู้ชำระเงิน และ/หรือ (2) ตามกฎระเบียบและกฎหมายที่บังคับใช้ใดๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 (ตามที่แก้ไข) ในกรณีที่บริษัทได้รับการสูญหายหรือความเสียหายใดๆ ที่เกิดจากความผิดพลาดของร้านค้าที่มิได้ปลดเปลื้องตนเองให้พ้นความรับผิดชอบทางกฎหมายและหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ข้างต้นในข้อ 2.5 นี้ ร้านค้าจะต้องชดใช้ค่าเสียหายโดยไม่มีเงื่อนไขให้กับบริษัททันที และ/หรือ ชดใช้และชดเชยให้กับบริษัทต่อความรับผิดใดๆ ที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว
2.6 บริษัทมีสิทธิในการตรวจสอบสินค้า/บริการตามธุรกรรมที่ร้านค้าจำหน่ายหรือให้บริการ ในกรณีที่กำหนดไว้ ร้านค้ามีหน้าที่ระบุรายละเอียดของสินค้า/บริการนั้น และระบุเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (เช่น เรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ให้กับบริษัทและจะต้องทำให้แน่ใจว่าเอกสารที่ยื่นสนับสนุนคำขอให้ชำระเงินนั้นถูกต้อง
2.7 หากร้านค้าและผู้ชำระเงินตกลงที่จะเพิกถอน ยกเลิก หรือบอกเลิกธุรกรรมใดๆ หรือเปลี่ยนสินค้า/บริการที่ได้ซื้อ หรือเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า/บริการหลังจากบริษัทได้โอนมูลค่าธุรกรรมที่เกี่ยวข้องไปให้กับร้านค้าแล้ว ร้านค้าควรจะแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการเพิกถอน ยกเลิก หรือบอกเลิกธุรกรรม หรือการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต่อบริษัททันที และจัดหาบันทึกคืนเงิน (refund note) รวมถึงเอกสารสนับสนุนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้แก่บริษัทภายในระยะเวลาที่ระบุในนโยบายการคืนเงินของบริษัท โดยส่งทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือทำเป็นลายลักษณ์อักษร หากบริษัทร้องขอ อย่างไรก็ดี เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัย ร้านค้าจะต้องไม่คืนเงินค่าสินค้า/บริการให้แก่ผู้ชำระเงินเป็นเงินสดโดยตรงเว้นแต่บันทึกคืนเงิน (refund note) ตามที่กล่าวข้างต้นไม่ได้ถูกจัดส่งให้แก่บริษัทภายในระยะเวลาที่ระบุในนโยบายการคืนเงินของบริษัท
2.8 ร้านค้าตกลงที่จะให้ความร่วมมือกับบริษัทในการที่จะอนุญาตให้บริษัทหรือผู้แทนหรือตัวแทนของบริษัทเข้าไปทำการตรวจสอบบัญชี (รวมถึงการตรวจสอบบันทึกทางธุรกรรม ความผิดปกติในธุรกรรมหรือบันทึกสินเชื่อที่เก็บไว้โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง) ร้านค้าตกลงว่าบริษัทผู้ได้รับบัตรเครดิต (acquirer) ("ผู้ได้รับบัตรเครดิต") หรือ องค์กรผู้ออกบัตรเครดิตระหว่างประเทศ (ถ้ามี) มีสิทธิที่จะกระทำการตามที่จำเป็นในการตรวจสอบข้อมูลที่อยู่ของร้านค้า เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลธุรกรรมนั้นมีความมั่นคงปลอดภัย
2.9 บริษัทมีสิทธิที่จะขอให้ร้านค้าเข้ารับการอบรมเป็นครั้งคราว (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องการฝึกอบรมการอนุมัติบัตร (card authorization)) และมีสิทธิตรวจสอบผลของการฝึกอบรมนั้น ร้านค้าจะต้องร่วมมือกับบริษัทในการป้องกันธุรกรรมที่ผิดกฎหมายหรือต้องสงสัยหรือฉ้อโกง และให้ความร่วมมือกับบริษัทในการจัดการเรื่องที่เกี่ยวข้องนั้น
2.10 ร้านค้าจะทำการเสนอขายสินค้า/บริการแก่ผู้ชำระเงินตามประเภทของสินค้า/บริการที่บริษัทกำหนด เพื่อให้ผู้ชำระเงินสามารถส่งคำสั่งซื้อ และ/หรือ คำขอใช้บริการการชำระเงิน และทำการชำระเงินค่าสินค้า/บริการให้แก่ร้านค้าตามวิธีการที่ระบุไว้ในข้อกำหนดของร้านค้าฉบับนี้ ทั้งนี้ร้านค้าจะต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า/บริการดังต่อไปนี้ให้ผู้ชำระเงินทราบ โดยร้านค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวเองทั้งสิ้น และร้านค้าจะเก็บหลักฐานที่แสดงว่าได้แจ้งข้อมูลดังต่อไปนี้แก่ผู้ชำระเงิน
2.10.1 ข้อมูลรายละเอียดของสินค้า/บริการของร้านค้า รวมถึงลักษณะ คุณภาพ และโฆษณาเผยแพร่ของสินค้า/บริการดังกล่าว (ถ้ามี)
2.10.2 เงื่อนไขในการคืนหรือยกเลิกสินค้า/บริการ และการคืนเงินค่าสินค้า/บริการให้แก่ผู้ชำระเงิน
2.10.3 สถานที่ตั้งสำนักงานหรือที่ทำการ รวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร และ/หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (email address) ของร้านค้า เพื่อให้ผู้ชำระเงินสามารถติดต่อได้โดยสะดวก
2.10.4 ราคาสินค้า/บริการซึ่งอยู่ในรูปสกุลเงินบาทหรือสกุลเงินตราต่างประเทศ (ถ้ามี)
2.10.5 รายละเอียด ขั้นตอน วิธีการและระยะเวลาในการส่งมอบสินค้า/บริการแก่ผู้ชำระเงิน รวมทั้งขั้นตอนในการรับมอบสินค้า/บริการของผู้ชำระเงิน ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะการส่งสินค้า/บริการแก่ผู้ชำระเงินทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ และ
2.10.6 นโยบายความเป็นส่วนตัวและนโยบายการรักษาความปลอดภัยของร้านค้าและเว็บไซต์ที่ให้บริการ
2.11 ร้านค้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการส่งมอบสินค้า/บริการตามธุรกรรมที่ระบุไว้ในเอกสารโฆษณาเผยแพร่ และ/หรือช่องทางสื่อสารต่างๆ ของร้านค้า ทั้งนี้ การส่งมอบสินค้าหรือการให้บริการดังกล่าวหมายรวมถึงเป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการหาแหล่งสินค้า/บริการ การเลือกสรรและตรวจสอบคุณภาพสินค้า/บริการ การสั่งสินค้าจากผู้ผลิต การนำเข้า การดำเนินขั้นตอนศุลกากร การชำระภาษีอากร ค่าจัดส่ง รวมถึงค่าไปรษณีย์ การรับคืนและเปลี่ยนสินค้า การประกันการส่งสินค้า การจัดหาอุปกรณ์และสิ่งต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการและหน้าที่อื่นๆ (ถ้ามี) ที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า/บริการ
2.12 ร้านค้าจะต้องส่งมอบสินค้า/บริการด้วยบรรจุภัณฑ์หรือมีคุณภาพที่ได้มาตรฐานให้แก่ผู้ชำระเงิน ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในเอกสารโฆษณาเผยแพร่ และ/หรือช่องทางสื่อสารต่างๆ ของร้านค้า
2.12.1 กรณีที่เป็นการขายสินค้า สินค้าจะต้องอยู่ในสภาพที่ดี ปราศจากการชำรุดบกพร่องหรือมีตำหนิ ทั้งนี้ หากร้านค้าต้องจัดส่งสินค้าให้แก่ผู้ชำระเงินซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทาง ในการส่งสินค้าไปให้แก่ผู้ชำระเงิน ร้านค้าจะต้องมีใบตอบรับหรือหลักฐานใดๆ ที่ผู้รับปลายทางลงนามเป็นหลักฐานเพื่อแสดงว่า สินค้านั้นได้ส่งถึงผู้รับแล้วทุกครั้ง และร้านค้าจะต้องเก็บใบตอบรับการส่งของ หรือเอกสารหลักฐานการได้รับสินค้าดังกล่าวไว้เพื่อการตรวจสอบเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 (สิบ) ปี นับแต่วันที่ร้านค้าได้ออกหรือรับไว้ซึ่งเอกสารหลักฐานดังกล่าว และจะต้องส่งมอบให้แก่บริษัททันทีเมื่อบริษัทได้ร้องขอ หรือ
2.12.2 กรณีที่เป็นการให้บริการ ร้านค้าจะต้องให้บริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานตามที่ระบุไว้ในเอกสารโฆษณาเผยแพร่ และ/หรือช่องทางสื่อสารต่างๆ ของร้านค้า และร้านค้าจะต้องเก็บหลักฐานการให้บริการ หรือเอกสารหลักฐานใดที่พิสูจน์ว่าร้านค้าได้ให้บริการไว้เพื่อการตรวจสอบเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 (สิบ) ปี นับแต่วันที่ร้านค้าได้ออกหรือรับไว้ซึ่งเอกสารหลักฐานดังกล่าว และจะต้องส่งมอบให้แก่บริษัททันทีเมื่อบริษัทได้ร้องขอ
2.12.3 ในกรณีที่ร้านค้าไม่สามารถจะจัดส่งสินค้า/บริการแก่ผู้ชำระเงินได้ตามที่ระบุไว้ในเอกสารโฆษณาเผยแพร่ และ/หรือช่องทางสื่อสารต่างๆ ของร้านค้า ไม่ว่าด้วยเหตุประการใด โดยมีเหตุผลและหลักฐานสนับสนุนความจำเป็นดังกล่าวอย่างชัดเจน ร้านค้าจะต้องแจ้งให้ผู้ชำระเงินทราบ เพื่อแจ้งยกเลิกธุรกรรมต่อไปตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในข้อกำหนดของร้านค้าฉบับนี้
2.13 ร้านค้าจะต้องดำเนินการให้ผู้ชำระเงินระบุชื่อ ที่อยู่ และรายละเอียดอื่นๆ ของผู้ชำระเงินตามที่บริษัทกำหนดให้ครบถ้วน และร้านค้าจะต้องจัดทำบันทึกทางธุรกรรมในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีรายละเอียดและรูปแบบตามที่บริษัทกำหนดและได้แจ้งให้ร้านค้าทราบล่วงหน้า (“บันทึกทางธุรกรรม”) และนำส่งบันทึกทางธุรกรรมดังกล่าวให้แก่บริษัทผ่านทางอินเตอร์เน็ตหรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามขั้นตอนที่บริษัทกำหนดและได้แจ้งให้ร้านค้าทราบล่วงหน้า ในการนำส่งบันทึกทางธุรกรรมให้แก่บริษัทดังกล่าว ร้านค้าตกลงและรับทราบว่าบันทึกทางธุรกรรมดังกล่าวจะต้องสร้างผ่านแพลตฟอร์มหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ร้านค้าออนไลน์ใช้งาน และ/หรืออุปกรณ์หรือเครื่องรับชำระเงินที่ร้านค้าออฟไลน์ใช้งาน ของร้านค้าที่เสนอขายสินค้า/บริการ (และในกรณีที่เป็นการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ต้องเป็นร้านค้าที่จดทะเบียนในประเทศไทยเท่านั้น) กรณีเป็นการรับบันทึกทางธุรกรรมด้วยวิธีการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในข้อกำหนดของร้านค้าฉบับนี้ วิธีการจัดทำบันทึกทางธุรกรรมและวิธีการนำส่งบันทึกทางธุรกรรมให้แก่บริษัท ให้เป็นไปตามที่บริษัทกำหนดและได้แจ้งให้ร้านค้าทราบล่วงหน้า อนึ่ง ร้านค้าจะต้องรักษารูปแบบและวิธีการส่งบันทึกทางธุรกรรมตามที่กำหนดไว้ในข้อนี้ และจะเก็บเป็นความลับ ไม่เปิดเผยหรือแจ้งให้ผู้ใดทราบโดยเด็ดขาด หากร้านค้าไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว และเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท และ/หรือบุคคลภายนอกอื่นใด ร้านค้าตกลงรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น
2.14 ร้านค้าจะต้องขออนุมัติธุรกรรมเพื่อการหักบัญชีเงินฝากของผู้ชำระเงินหรือขออนุมัติวงเงินบัตรเครดิตสำหรับธุรกรรมทุกรายการ ก่อนการส่งมอบสินค้า/บริการแก่ผู้ชำระเงินทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนมูลค่าธุรกรรมเท่าใด ทั้งนี้ ร้านค้ารับทราบว่า ในกรณีของการซื้อสินค้า/บริการด้วยบัตรเครดิต การอนุมัติธุรกรรมดังกล่าว เป็นเพียงการตรวจสอบวงเงินบัตรเครดิตของผู้ชำระเงินว่ามีเพียงพอสำหรับการซื้อสินค้า/บริการในครั้งนั้นๆ หรือไม่เท่านั้น มิได้เป็นการตรวจสอบว่าผู้ทำธุรกรรมดังกล่าวเป็นผู้ถือบัตรโดยถูกต้องแท้จริง หรือบัตรเครดิตที่นำมาใช้ซื้อสินค้า/บริการเป็นบัตรปลอมหรือสามารถใช้ซื้อสินค้า/บริการได้หรือไม่ หากมีการปฏิเสธจากผู้ชำระเงินหรือผู้ที่เป็นเจ้าของบัตรเครดิตว่ามิได้เป็นผู้ทำธุรกรรม หรือบัตรเครดิตดังกล่าวเป็นบัตรปลอม หรือไม่สามารถใช้ซื้อสินค้า/บริการได้ ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ร้านค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น (ถ้ามี) ทุกประการ แม้ว่าธุรกรรมนั้นจะได้รับการอนุมัติแล้วก็ตาม อนึ่ง ร้านค้ายอมรับว่าบริษัทมีสิทธิที่จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติธุรกรรมใดๆ ก็ได้ แม้ว่าผู้ชำระเงินจะยังใช้บัตรเครดิตไม่เต็มวงเงินหรือมีเงินในบัญชีเพียงพอให้หักบัญชีก็ตาม ทั้งนี้ โดยไม่จำเป็นต้องชี้แจงแสดงเหตุแต่ประการใด และการอนุมัติหรือไม่อนุมัติธุรกรรมดังกล่าวให้ถือเป็นที่สุด และร้านค้าจะไม่ถือเป็นเหตุเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากบริษัท
2.15 ร้านค้าจะต้องสรุปบันทึกทางธุรกรรมตามรูปแบบ วิธีการที่บริษัทกำหนด เพื่อให้บริษัทดำเนินการเรียกเก็บเงินและโอนเงินให้ร้านค้า (Settlement) ภายในระยะเวลา 7 (เจ็ด) วันนับจากวันที่ร้านค้าได้สรุปบันทึกทางธุรกิจและ/หรือได้รับการอนุมัติธุรกรรมตามที่บริษัทกำหนดหรือตามที่บริษัทได้แจ้งให้ร้านค้าทราบ โดยร้านค้ายอมรับว่าบริษัทไม่มีหน้าที่ตรวจสอบว่าสรุปบันทึกทางธุรกรรมดังกล่าวมีรายละเอียดถูกต้องหรือไม่ และตกลงให้ถือว่ารายละเอียดในข้อมูลบันทึกทางธุรกรรมที่บริษัทได้รับเป็นข้อมูลที่ถูกต้องสำหรับให้บริษัทดำเนินการตามข้อกำหนดของร้านค้าฉบับนี้ได้ทุกประการ
กรณีเป็นการรับธุรกรรมผ่านวิธีการอื่น วิธีการเรียกเก็บเงินให้เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด และแจ้งให้ร้านค้าทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นกรณีๆ ไป
2.16 ร้านค้าจะแจ้งแก่บริษัท ในกรณีที่ร้านค้า (1) เลิกประกอบธุรกิจ (2) เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมประเภทธุรกิจหรือประเภทของสินค้า/บริการภายใน 7 (เจ็ด) วันนับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
3. การเก็บรักษาบันทึกทางธุรกรรม
3.1 เอกสารเกี่ยวกับธุรกรรมระหว่างร้านค้า กับผู้ชำระเงิน (รวมถึงบันทึกอิเล็กทรอนิกส์ของข้อความที่เกี่ยวกับธุรกรรม รหัสการอนุญาตเกี่ยวกับธุรกรรม และตัวเลขธุรกรรม) และใบเสร็จที่เกี่ยวข้อง ใบสำคัญการจ่ายเงิน จะได้รับการเก็บรักษาเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 (ห้า) ปี ในกรณีที่มีข้อพิพาทใดๆ เกิดขึ้นในระหว่างเวลานั้น บริษัทอาจจะขอให้ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาใช้พิสูจน์ในเวลาใดก็ได้ ในกรณีที่ร้านค้าไม่สามารถที่จะส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับธุรกรรมให้กับบริษัทเพื่อตรวจสอบได้ภายใน 7 (เจ็ด) วันเมื่อบริษัทร้องขอ ร้านค้าจะต้องคืนจำนวนเงินโอนให้กับบริษัทในจำนวนที่บริษัทได้โอนไปให้ร้านค้า อันสืบเนื่องมาจากการทำธุรกรรม หรือบริษัทอาจจะหักกลบลบหนี้จำนวนนั้นจากยอดเงินอื่นที่บริษัทจะต้องชำระให้กับร้านค้า
3.2 ร้านค้ารับทราบและตกลงว่า ในกรณีที่ร้านค้าไม่ได้เก็บรักษาเอกสารใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมใดๆ เช่นนั้นแล้ว บันทึกที่บริษัทเก็บไว้เกี่ยวกับธุรกรรมนั้นจะถือว่าถูกต้องแท้จริง
4. ข้อมูลบัญชีและวิธีการจ่ายเงิน
4.1 บริษัทจะต้องโอนเงินมูลค่าธุรกรรมที่ถึงกำหนดชำระแก่ร้านค้าอันเกิดจากการทำธุรกรรม ระหว่างร้านค้ากับผู้ชำระเงิน ไว้ในบัญชีธนาคารที่แยกออกมาเฉพาะของบริษัท และจะแยกเก็บต่างหากจากเงินทุนของบริษัทที่ใช้การประกอบการ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ผู้ชำระเงินมีสิทธิยกเลิกการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการของร้านค้า (Cooling Off) หรือเมื่อได้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขในการชำระเงินระหว่างบริษัทกับร้านค้า บริษัทจะต้องโอนมูลค่าธุรกรรมที่ร้านค้าจะได้รับไปยังบัญชีธนาคารที่เปิดใช้อยู่ของร้านค้า ตามที่ได้กำหนดในข้อ 11 ("บัญชีธนาคารของร้านค้า") ซึ่งร้านค้าได้ให้ไว้ เมื่อได้ยื่นคำขอใช้บริการการชำระเงิน ภายหลังจากที่ได้หักค่าใช้จ่ายใดๆ ที่บริษัทจะได้รับ
4.2 ร้านค้าจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดจากการโอนเงินใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการการชำระเงิน รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะการโอนเงินมูลค่าธุรกรรมที่ร้านค้าจะได้รับ ไม่ว่าธุรกรรมจะถูกเพิกถอน ยกเลิก หรือบอกเลิกหรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัย บริษัทจะไม่คืนค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้แก่ร้านค้า ไม่ว่าในกรณีใดๆ
4.3 ร้านค้าจะต้องรับผิดชอบในการกระทำของร้านค้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบัญชีการให้บริการ โดยห้ามมิให้มีการโอนสิทธิ ให้ หรือยกบัญชีการให้บริการเป็นมรดก ในกรณีที่ร้านค้าไม่ประสงค์ที่จะต่อสัญญากับบริษัท ร้านค้าจะต้องทำคำขอเพื่อยกเลิกบัญชีการใช้บริการ
4.4 บริษัทมีสิทธิที่จะระงับการชำระเงินใดๆ ที่ร้านค้าจะได้รับด้วยดุลยพินิจเด็ดขาดแต่ผู้เดียวหากมีเหตุอันสมควรที่ทำให้เชื่อได้ว่าร้านค้าอาจหรือจะหยุดประกอบกิจการ หรือร้านค้าอาจหรือจะมีหนี้สินล้นพ้นตัว หรือมีการดำเนินการชำระบัญชี ร้านค้ามีการประนอมหนี้ ล้มละลาย ถูกพิทักษ์ทรัพย์ การจัดแบ่งทรัพย์สิน หรือเลิกกิจการ (หรือที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่กล่าวมาในเขตอำนาจศาลใดๆ ก็ตาม) หรือหากบริษัทได้รับการแจ้งจากศาลใดๆ หรือหน่วยงานที่มีอำนาจอื่นๆ หรือจากผู้ชำระเงิน เกี่ยวกับกรณีข้อพิพาทในการชำระเงินมูลค่าธุรกรรม ก่อนที่บริษัททำการโอนมูลค่าธุรกรรมไปยังร้านค้า
4.5 บริษัทจะบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมในบัญชีใช้บริการของร้านค้า ไม่ว่าธุรกรรมนั้นจะสมบูรณ์หรือไม่ก็ตาม ร้านค้าอาจจะขอบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมของบัญชีใช้บริการสำหรับบริการการชำระเงินผ่านการบริหารจัดการที่บริษัทได้จัดไว้ให้ ในกรณีที่ร้านค้าพบบันทึกข้อมูลที่ผิดพลาดใดๆ อาจจะขอให้บริษัทจัดหาบันทึกข้อมูลคำสั่งในการเรียกเก็บหรือจ่ายเงินที่เป็นประเด็นนั้น ร้านค้าเข้าใจและตกลงว่า หลังจากบริษัทได้โอนจำนวนเงินที่ร้านค้าได้ระบุ ไปยังบัญชีธนาคารของร้านค้าตามคำสั่งของร้านค้า และภายหลังจากที่สถาบันการเงินที่เป็นผู้ให้บริการแก่บริษัท ยืนยันว่าจำนวนเงินดังกล่าวได้รับไว้แล้ว ถือว่าบริษัทได้ปฏิบัติหน้าที่ในการชำระเงินตามข้อกำหนดของร้านค้าแล้ว ในกรณีที่ร้านค้ามีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับการชำระเงินดังกล่าว ให้สอบถามไปยังสถาบันการเงินที่ร้านค้ามีบัญชีธนาคารอยู่
5. ความรับผิดชอบของร้านค้าในการคืนเงิน (Refund)
5.1 ร้านค้าตกลงว่า ร้านค้าจะคืนเงินที่บริษัทได้โอนให้แก่ร้านค้า เพื่อมิให้บริษัทได้รับความเสียหาย และบริษัทอาจจะหักจำนวนเงินที่บริษัทจะได้รับคืนดังกล่าวจากเงินอื่นที่บริษัทจะต้องชำระให้กับร้านค้า ได้ในกรณีดังต่อไปนี้
5.1.1 ผู้ชำระเงินไม่ได้รับสินค้า/บริการที่ซื้อ หรือมีข้อพิพาท หรือปฏิเสธการจ่าย หรือการเรียกร้องค่าเสียหายสำหรับสินค้า/บริการ
5.1.2 ร้านค้าได้ทำผิดข้อกำหนดของร้านค้า หรือสถาบันการเงินได้แจ้งบริษัทว่าธุรกรรมของร้านค้านั้นมีความเสี่ยง ผิดกฎหมาย เป็นที่น่าสงสัย หรือฝ่าฝืนกฎระเบียบและกฎหมายที่บังคับใช้อยู่
5.1.3 ร้านค้าทำธุรกรรมให้กับร้านค้าหรือบุคคลอื่น หรือชำระหนี้ และเรียกร้องให้บริษัทชำระเงินจากบริษัทด้วยวิธีการอื่นใด ซึ่งไม่ใช่ช่องทางของบริการการชำระเงินที่บริษัทให้บริการ
5.1.4 ธุรกรรมที่ร้านค้าให้ดำเนินการ และการชำระค่าบริการด้วยบริการการชำระเงินนั้นเป็นผลมาจากการที่ร้านค้าทำธุรกรรมนอกวัตถุประสงค์ที่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายหรือในธุรกิจ ซึ่งร้านค้าไม่ได้แจ้งให้บริษัททราบ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดอยู่เพียง การให้กู้ยืมเงิน
5.1.5 บริษัทขอให้ร้านค้าจัดหาบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมเพื่อให้บริษัทตรวจสอบ แต่ร้านค้าไม่สามารถที่จะจัดหาภายใน 3 (สาม) วันทำการ หลังจากที่ได้รับการบอกกล่าวจากบริษัท
6. การปฏิบัติอย่างเป็นธรรมต่อผู้ชำระเงิน
6.1 ร้านค้าจะต้องปฏิบัติต่อผู้ชำระเงินที่ใช้บริการการชำระเงินอย่างเท่าเทียมกัน ร้านค้าจะต้องไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม หรือจำกัดวิธีการชำระเงินของผู้ชำระเงินสำหรับธุรกรรมโดยไม่มีเหตุผล และจะไม่กำหนดจำนวนเงินขั้นสูงสุดหรือต่ำสุดในการซื้อแต่ละครั้ง ร้านค้าตกลงเสนอขายสินค้า/บริการในราคาที่ไม่สูงกว่าราคาขาย และ/หรือค่าบริการที่คิดจากผู้ชำระเงินที่ชำระราคาด้วยเงินสด และหากมีการให้บริการพิเศษใดๆ แก่ผู้ชำระเงินทั่วไป เช่น การให้ส่วนลดหรือของแถม ร้านค้าจะต้องให้บริการนั้นแก่ผู้ชำระเงินด้วย
6.2 ไม่ว่าในกรณีใดๆ ร้านค้าจะต้องไม่เปลี่ยนค่าบริการที่ต้องชำระ หรือค่าใช้จ่ายที่ได้ชำระไว้ โดยการเพิ่มราคาธุรกรรมที่ผู้ชำระเงินจะต้องชำระ และห้ามมิให้ร้านค้าเพิ่มราคาในการทำธุรกรรมที่ผู้ชำระเงินจะต้องชำระ ในกรณีที่เกิดเหตุใดๆ ที่กล่าวข้างต้นขึ้น ร้านค้าจะต้องคืนค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บเพิ่มเติมให้กับผู้ชำระเงินในทันที ในกรณีที่บริษัททำการสืบสวนและพบว่าร้านค้าได้ปฏิบัติต่อผู้ชำระเงินอย่างไม่เป็นธรรม ร้านค้าจะต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ในกรณีที่ร้านค้ากระทำการดังกล่าวจนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย หรือสูญเสียใด ร้านค้าจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับบริษัทสำหรับความเสียหายและสูญเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้น
6.3 ร้านค้าจะต้องไม่ยกเว้นความรับผิดของตนเองด้วยการกำหนดให้ผู้ชำระเงินสละสิทธิในการโต้แย้งหรือใช้สิทธิเรียกร้องให้ร้านค้ารับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ชำระเงินอันเนื่องมาจากธุรกรรมการซื้อสินค้า/บริการระหว่างร้านค้าและผู้ชำระเงิน
7. การใช้รหัสร้านค้า (Merchant ID)
รหัสร้านค้าที่ได้มอบให้ร้านค้าเป็นสิทธิของบริษัท และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของร้านค้าในการใช้บริการการชำระเงิน ร้านค้าจะต้องไม่ให้รหัสร้านค้าให้กับบุคคลอื่น และร้านค้าจะต้องไม่ใช้รหัสร้านค้าเกินกว่าวัตถุประสงค์ในการทำธุรกรรมเพื่อการใช้บริการ
8. ข้อกำหนดในการใช้บริการรับชำระเงินซึ่งชำระด้วยบัตรเครดิตและบริการการชำระเงิน
8.1 ข้อกำหนดในข้อ 8 นี้ ให้ใช้บังคับกับร้านค้าที่เข้าเงื่อนไขของบริษัทในการใช้บริการการรับชำระเงินจากผู้ชำระเงินซึ่งใช้บัตรเครดิตในการทำธุรกรรม
8.2 ร้านค้าจะต้องไม่ปฏิเสธการซื้อโดยใช้บัตรเครดิตใดๆ เพียงเพราะว่าจำนวนเงินที่ซื้อนั้นน้อย หรือห้ามมิให้กำหนดจำนวนขั้นสูงสุดหรือต่ำสุดสำหรับการซื้อใดๆ โดยบัตรเครดิต
8.3 ในกรณีที่ร้านค้ายอมรับการชำระเงินโดยใช้บัตรเครดิต ร้านค้าจะต้องได้รับเลขที่อนุญาตเพียงตัวเลขเดียวเท่านั้นสำหรับมูลค่าธุรกรรมทั้งหมดกับผู้ชำระเงิน และขอให้ชำระเต็มจำนวนเท่านั้น สำหรับมูลค่าธุรกรรมจากการให้บริการการรับชำระเงิน ร้านค้าจะต้องไม่แบ่งแยกธุรกรรมบัตรเครดิตเป็นสองธุรกรรมหรือมากกว่านั้น หรือได้รับเลขอนุญาตสำหรับแต่ละส่วนของธุรกรรม ร้านค้ารับรองว่าจะไม่ใช้บริการการชำระเงินในการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึง การลงนามในสลิปบัตรเครดิตโดยไม่ได้ทำการซื้อขายสินค้าและบริการ การได้รับเงินล่วงหน้าใดๆ การทำการฉ้อโกงในธุรกรรมการเงิน การโอนเงินโดยไม่มีการทำธุรกรรม หรือ การชำระค่าใช้จ่ายล่วงหน้าให้กับผู้ชำระเงินสำหรับสินค้าและบริการก่อนแล้วเรียกร้องให้มีการชำระเงินโดยธนาคารที่ออกบัตรเครดิต ("ผู้ออกบัตรเครดิต") ผ่านทางบริษัท ในกรณีที่ร้านค้าได้ฝ่าฝืนข้อกำหนดข้างต้น บริษัทอาจจะระงับการโอนมูลค่าธุรกรรมให้ร้านค้า ในกรณีที่เงินตามมูลค่าธุรกรรมนั้นได้ถูกโอนไปยังร้านค้าแล้ว ร้านค้าจะต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้บริษัท
8.4 ในกรณีที่ธุรกรรมของร้านค้ากับผู้ชำระเงินนั้นถูกเลื่อนกำหนดออกไป เว้นแต่ได้รับอนุมัติจากบริษัท ร้านค้าจะต้องไม่รับชำระเงินมูลค่าธุรกรรมด้วยบัตรเครดิตของผู้ชำระเงินผ่านช่องทางการให้บริการ ในกรณีที่ธุรกรรมนั้นเป็นธุรกรรมเลื่อนกำหนดออกไป หลังจากมูลค่าธุรกรรมนั้นได้มีการชำระด้วยบัตรเครดิตผ่านทางการให้บริการ บริษัทอาจจะระงับมูลค่าธุรกรรมจากร้านค้า ในกรณีที่มูลค่าธุรกรรมนั้นได้มีการชำระให้ร้านค้า ร้านค้าจะต้องคืนเงินจำนวนเดียวกันนั้นให้กับบริษัท
8.5 ในกรณีที่ผู้ออกบัตรเครดิตหรือผู้ได้รับบัตรเครดิต หรือนิติบุคคลภายในหรือภายนอกประเทศอาจจะปฏิเสธที่จะชำระเงินตามมูลค่าธุรกรรม หรือเรียกให้บริษัทชำระคืนมูลค่าธุรกรรมที่ได้ชำระหรือจ่ายให้ร้านค้าไปก่อนหน้าแล้ว แม้ว่าบัตรเครดิตนั้นจะผ่านการพิจารณาตรวจสอบหรือ ยืนยันว่าใช้ได้โดยผู้ออกบัตรเครดิตหรือผู้ได้รับบัตรเครดิตหรือนิติบุคคลภายในหรือภายนอกประเทศ ("การเรียกคืน") (Chargeback) บริษัทจะไม่ชำระมูลค่าธุรกรรมให้กับร้านค้า หรือในกรณีที่มูลค่าธุรกรรมนั้นได้มีการชำระให้ร้านค้าไปแล้ว ร้านค้าจะต้องคืนเงินจำนวนเดียวกันนั้นให้บริษัท แม้ว่าไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะจัดหาหรือดำเนินการใดกับสินค้า/บริการที่เกี่ยวข้องก็ตาม โดยมีรายละเอียดดังนี้
8.5.1 กรณีที่บริษัทชำระมูลค่าธุรกรรมที่ถูกเรียกคืนไปแล้ว ร้านค้าต้องรับผิดชดใช้มูลค่าธุรกรรมจากการเรียกคืนดังกล่าวต่อบริษัทโดยพลัน และบริษัทมีสิทธิเรียกร้องให้ร้านค้าชดใช้ด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามเต็มจำนวน รวมถึงค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายอื่นใด และความรับผิดซึ่งบริษัทได้รับอันเป็นผลมาจากการเรียกคืนดังกล่าว ("ค่าใช้จ่ายในการเรียกคืน")
8.5.2 บริษัทอาจให้ความช่วยเหลือตามข้อ 9 แก่ร้านค้าตามสมควร แต่ไม่มีหน้าที่ในการสอบสวนความถูกต้องของการเรียกคืนจากผู้ออกบัตรเครดิต ผู้ได้รับบัตรเครดิต หรือนิติบุคคลภายในหรือต่างประเทศ ซึ่งการตัดสินดังกล่าวถือเป็นที่สุดและผูกพันการเรียกคืนใดๆ
8.5.3 ในกรณีที่การเรียกคืนนั้นเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานหลังจากวันที่มีการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง ร้านค้ารับทราบและตกลงว่า ไม่ว่าจะมีการยกเลิกสัญญาไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม บริษัทยังคงมีสิทธิที่จะได้รับการชดใช้ในส่วนของการเรียกคืน และค่าใช้จ่ายในการเรียกคืนจากร้านค้า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียกคืนทั้งหมดที่เกี่ยวเนื่องกับการทำธุรกรรมที่มีผลในระหว่างที่ข้อกำหนดของร้านค้ามีผลบังคับใช้
8.6 ในกรณีที่หลังจากที่มีการทำธุรกรรมโดยบัตรเครดิต ผู้ชำระเงินที่เกี่ยวข้องทำการแจ้งผ่านทางผู้ออกบัตรเครดิตว่า ผู้ชำระเงินปฏิเสธที่จะชำระมูลค่าธุรกรรม หรือในกรณีมีข้อพิพาทอื่นใดเกิดขึ้น บริษัทอาจจะ (แต่มิได้มีหน้าที่ตามกฎหมายหรือข้อกำหนดของร้านค้านี้) ช่วยเหลือร้านค้าและผู้ชำระเงินในการระงับข้อพิพาทโดยใช้กลไกที่กำหนดโดยหน่วยงานที่มีอำนาจในการจัดการข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการซื้อขายโดยบัตรเครดิต อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่มีหน้าที่จะชำระเงินตามมูลค่าธุรกรรมให้กับร้านค้า
8.7 ในกรณีที่ศาล หน่วยงานที่มีอำนาจ องค์กรระหว่างประเทศ ผู้ออกบัตรเครดิต หรือผู้ได้รับบัตรเครดิต ได้แจ้งให้บริษัททราบว่า ร้านค้านั้นต้องสงสัยว่าเป็นร้านค้าที่มีความสุ่มเสี่ยงในการดำเนินกิจการที่ผิดกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี หรือบริษัทได้พิจารณาว่าร้านค้านั้นต้องสงสัยหรือเป็นร้านค้าที่มีความสุ่มเสี่ยง บริษัทอาจจะระงับการชำระเงินเข้าบัญชีธนาคารของร้านค้า และระงับการอนุมัติที่ได้ให้แก่ร้านค้าในการใช้บริการการชำระเงิน หรือสมัครขอใช้บริการการชำระเงินกับบริษัท หรือระงับการชำระเงินไม่ว่าจำนวนใดๆ ให้กับร้านค้า โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ร้านค้าทราบล่วงหน้า หลังจากผู้แจ้งหรือหน่วยงานที่มีอำนาจได้พิจารณาภายหลังจากการสืบสวนว่าร้านค้านั้นไม่มีเหตุต้องสงสัยหรือสุ่มเสี่ยงใดๆ และแจ้งให้บริษัทรับทราบการพิจารณาดังกล่าว บริษัทจะคืนสิทธิของร้านค้าในการรับชำระโดยบัตรเครดิตโดยผู้ชำระเงิน สำหรับธุรกรรมสินค้า/บริการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ร้านค้าจะไม่เรียกร้องดอกเบี้ยใดๆ หรือค่าเสียหายอื่นใดสำหรับจำนวนเงินที่บริษัทระงับการจ่ายในระหว่างที่มีการถูกระงับการชำระเงินให้กับบัญชีธนาคารของร้านค้า
8.8 ภายใต้บังคับข้อ 13 และข้อ 14 ที่จะกล่าวต่อไป โดยพิจารณาจากความจำเป็นทางการค้า บริษัทอาจจะใช้ข้อมูลของร้านค้าซึ่งได้จดทะเบียนไว้กับบริษัท ในกรณีที่ศาลยุติธรรม หน่วยงานที่มีอำนาจ องค์กรระหว่างประเทศ ผู้ออกบัตรเครดิต หรือผู้ได้รับบัตรเครดิต ได้ร้องขออย่างเป็นทางการให้บริษัทจัดหาข้อมูล บริษัทมีสิทธิที่จะจัดส่งข้อมูลดังกล่าว ตามกฎหมายที่บังคับใช้
8.9 ข้อกำหนดในข้อนี้ให้ใช้บังคับกับร้านค้าเพียงเท่าที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่ร้านค้าทราบว่ามีธุรกรรมบัตรเครดิตที่ผิดปกติใดๆ หรือสงสัยว่าผู้ชำระเงินใช้บัตรเครดิตปลอม หรือได้รับรายงานการสูญหายของบัตรเครดิตดังกล่าว หรือพบว่าผู้ถือบัตรเครดิตนั้นต้องสงสัย ก่อนที่ร้านค้าจะยอมรับการทำธุรกรรมใดๆ ร้านค้าจะต้องได้รับการยืนยันจากผู้ออกบัตรเครดิตก่อน ในกรณีที่ร้านค้าได้ขอให้บริษัทช่วยเหลือในการได้รับการยืนยันของผู้ออกบัตรเครดิต ร้านค้าจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมจากการดังกล่าว
8.10 ข้อกำหนดในข้อนี้ให้ใช้บังคับกับร้านค้าเพียงเท่าที่เกี่ยวข้อง ร้านค้าตกลงที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนด เงื่อนไข วิธีการ ขั้นตอน หลักเกณฑ์ กฎระเบียบ ข้อบังคับที่ออกโดยผู้ได้รับบัตรเครดิต ผู้ออกบัตรเครดิต รวมถึงเครือข่ายผู้ให้บริการบัตรเครดิต (Card Scheme) ทุกราย ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
8.10.1 ขั้นตอนการรู้จักผู้ชำระเงิน (Know Your Customer (KYC)) และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้ชำระเงิน (Customer Due Diligence)
8.10.2 การรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตสำหรับธุรกรรมที่ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์
8.10.3 ระเบียบ ข้อปฏิบัติ และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะมาตรฐาน Payment Card Industry Data Security Standard (PCI DSS) และ Payment Application Data Security Standard (PA DSS)
8.11 ร้านค้าตกลงตามเงื่อนไขต่อไปนี้เมื่อใช้บริการการชำระเงินซึ่งอำนวยความสะดวกในการโอนเงินระหว่างผู้ชำระเงินและร้านค้าโดยใช้ QR Promptpay หรือแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (“บริการ QR/Mobile Banking”)
8.11.1 บริษัทตกลงที่จะอำนวยความสะดวกในการรับชำระเงินโดยบริการ QR/Mobile Banking ให้แก่ร้านค้าตามรายละเอียดธุรกรรมตามที่ร้านค้านำส่งให้ รวมถึงจัดเตรียมการเชื่อมต่อที่จำเป็นเข้ากับอินเทอร์เฟซหรืออุปกรณ์ชำระเงินของร้านค้า
8.11.2 ร้านค้ามีหน้าที่รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการตรวจสอบความถูกต้องของรายละเอียดสำหรับ (i) การสร้างรหัส QR หรือ (ii) คำสั่งชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ แล้วแต่กรณี โดยเมื่อธุรกรรมถูกยืนยันผ่านระบบที่เกี่ยวข้องแล้ว บริษัทจะถือว่าธุรกรรมนั้นเสร็จสมบูรณ์ และร้านค้าตกลงจะรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ใดๆ ที่เกิดจากข้อมูลที่ได้รับจากร้านค้าไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน หรือผิดพลาดใดๆ
8.11.3 ร้านค้าตกลงที่จะชำระค่าบริการที่เกี่ยวข้องและภาษีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภาษีอากร และ/หรือค่าธรรมเนียม สำหรับธุรกรรมที่ดำเนินการผ่านบริการ QR/Mobile Banking บริษัทจะหักค่าบริการจากมูลค่าธุรกรรมก่อนจะโอนจำนวนเงินสุทธิไปยังบัญชีธนาคารรับเงินของร้านค้า ร้านค้ารับทราบและตกลงยินยอมว่าจะไม่สามารถขอคืนค่าบริการได้เมื่อธุรกรรมได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
8.11.4 ร้านค้ามีสิทธิ์ที่จะดำเนินการเพื่อตรวจสอบและเรียกคืนเงินสำหรับธุรกรรมที่ผิดพลาด ไม่ถูกต้องหรือที่ไม่ได้อนุมัติให้ทําธุรกรรม ที่มีการชำระเงินมายังบัญชีของร้านค้า ทั้งนี้ ร้านค้าตกลงที่จะแก้ไขข้อร้องเรียนหรือข้อพิพาทใดๆ ต่อผู้ชำระเงินโดยตรง รวมถึงรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการจัดการการคืนเงินใดๆ กับผู้ชำระเงินโดยตรง อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นๆ ของผู้ชำระเงินได้ดำเนินการตรวจสอบเกี่ยวกับธุรกรรมใดๆ บริษัทจะให้ความช่วยเหลือแก่ร้านค้าเท่าที่สมควร เพื่อแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว โดยไม่เป็นหน้าที่ทางกฎหมาย แต่การให้ความช่วยเหลือดังกล่าว ไม่ก่อให้เกิดความรับผิดหรือหน้าที่แก่บริษัทในการแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าวให้กับร้านค้า
8.11.5 บริษัทขอสงวนความรับผิดใดๆ ที่เกิดจากกิจกรรมหรือธุรกรรมที่ไม่ได้อนุมัติให้ทําธุรกรรม ภายใต้บริการ QR/Mobile Banking เมื่อได้รับคำขอที่ส่งโดยร้านค้า บริษัทตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือสำหรับธุรกรรมที่ผิดพลาดหรือผิดพลาดโดยให้ข้อมูลหรือหลักฐานเพื่อสนับสนุนการเรียกร้องของร้านค้าต่อผู้ชำระเงิน
8.11.6 บริษัทไม่มีหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องของรายละเอียดที่ร้านค้าให้ไว้หรือยืนยันว่าธุรกรรม QR/Mobile Banking นั้นถูกทำรายการโดยบุคคลที่ได้รับมอบหมายหรือได้รับอนุมัติ
8.11.7 โดยไม่กระทบกับข้อความตามที่ระบุไว้ในข้อ 16 บริษัทจะไม่รับผิดต่อร้านค้าสำหรับความเสียหายหรือสูญเสียโดยตรง โดยอ้อม หรือเป็นผลสืบเนื่องใดๆ ที่เกิดจาก: (i) การประมาทเลินเล่อของร้านค้าหรือการละเมิดข้อตกลงหรือข้อกำหนดในการให้บริการของบริษัท; (ii) เงินในบัญชีผู้ใช้ไม่เพียงพอ; (iii) ธุรกรรมที่ผิดพลาดหรือไม่ถูกต้องที่เกิดจากร้านค้า; หรือ (iv) การระงับหรือยกเลิกบริการ QR/Mobile Banking ที่เกิดขึ้นจากทางธนาคาร
9. ความช่วยเหลือในการสืบสวน
9.1 บริษัทอาจจะขอให้ร้านค้าจัดหารายงาน และ/หรือข้อมูลในการทำธุรกรรมใดๆ สถานะการชำระหนี้ ของสัญญาซื้อขายใดๆ และข้อมูลอื่นใดที่บริษัทเห็นว่าจำเป็นในการสืบสวนการใช้บริการการชำระเงินของร้านค้า ร้านค้านั้นไม่อาจจะปฏิเสธคำขอรายงาน และ/หรือข้อมูลดังกล่าว
9.2 บริษัทอาจจะขอให้ร้านค้าจัดหาข้อมูล และ/หรือเอกสารใดที่จำเป็นในการปฏิบัติตามข้อบังคับและกฎหมาย ร้านค้าจะต้องจัดหาข้อมูลและ/หรือเอกสารดังกล่าวนั้นในทันทีด้วยค่าใช้จ่ายของร้านค้า
10. การคิดค่าบริการ
10.1 เพื่อเป็นการตอบแทนการให้บริการการชำระเงินโดยบริษัท ร้านค้าจะต้องชำระค่าบริการให้บริษัท ตามที่ร้านค้าจะต้องชำระ และได้รับแจ้งเป็นคราวๆ ("ค่าบริการ") ตามอัตรา ข้อตกลง เงื่อนไข และรายละเอียดเกี่ยวกับค่าบริการ/การชำระค่าบริการที่กำหนดไว้ในคำขอ และ/หรือข้อตกลงของร้านค้า และ/หรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้อง
10.2 เว้นแต่ระบุไว้เป็นอย่างอื่น ค่าบริการทั้งหมดและการชำระเงินอื่นใดที่ร้านค้าจะต้องชำระให้บริษัทภายใต้ข้อกำหนดของร้านค้านี้ ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรแสตมป์ และภาษีที่เกี่ยวข้อง และนอกเหนือจากการชำระค่าบริการหรือเงินอื่นใดที่ต้องชำระแล้วนั้น ร้านค้าตกลงที่จะชำระภาษีดังกล่าวทั้งหมด รวมถึง เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ค่าปรับ และค่าธรรมเนียมของหน่วยงานราชการ ค่าธรรมเนียมของหน่วยงานใดๆ ที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
10.3 ในบางครั้ง บริษัทอาจจะเปลี่ยนแปลงอัตราค่าบริการ และ/หรือ กำหนดค่าธรรมเนียมบริการในรูปแบบอื่นนอกเหนือจากค่าบริการที่ตกลงไว้กับร้านค้า โดยบริษัทจะแจ้งให้ร้านค้าทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 (เจ็ด) วัน
10.4 บริษัทสงวนสิทธิที่จะหยุดพักการให้บริการการชำระเงินใดๆ โดยถือเป็นดุลยพินิจเด็ดขาดของบริษัทแต่เพียงผู้เดียวโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า และ/หรือมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือยกเลิกข้อกำหนดของร้านค้าตามข้อ 17 หากปรากฎว่าร้านค้าไม่ได้ชำระจำนวนเงินใดๆ ที่ถึงกำหนดชำระให้กับบริษัทในคราวใดภายในกำหนดระยะเวลาตามที่ระบุไว้ในข้อ 10 ของข้อกำหนดของร้านค้านี้
11. บัญชีธนาคารและการชำระเงิน
11.1 ตลอดระยะเวลาที่ข้อกำหนดของร้านค้ามีผลใช้บังคับ และตามระยะเวลาที่อาจจะกำหนดกันในภายหลัง เพื่อวัตถุประสงค์ตามเงื่อนไขของข้อกำหนดของร้านค้านี้ ร้านค้าจะต้องคงบัญชีในชื่อของร้านค้ากับธนาคารที่บริษัทยอมรับ เพื่อวัตถุประสงค์ในการรับชำระเงินจากบริษัทและทำการชำระเงินให้กับบริษัท ("บัญชีธนาคารของร้านค้า")
11.2 ในกรณีที่บริษัทสามารถหักเงินจากบัญชีธนาคารของร้านค้า บริษัทมีสิทธิที่จะหักยอดรวมทั้งหมดที่ถึงกำหนดชำระจากร้านค้า ตามข้อกำหนดของร้านค้า โดยการหักบัญชีโดยตรงจากบัญชีธนาคารของร้านค้า และบริษัทสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้โดยไม่กระทบต่อสิทธิอื่นใด หรือการเยียวยาความเสียหายใดที่มีอยู่ ร้านค้าจะต้องคงไว้ซึ่งคำสั่งธนาคารในการอนุญาตในการหักบัญชีดังกล่าว
11.3 ร้านค้าจะต้องแจ้งให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับบัญชีธนาคารของร้านค้า ที่เสนอโดยร้านค้า (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ สถานที่ของสาขาซึ่งมีบัญชีนั้นอยู่) และจะไม่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงโดยปราศจากความยินยอมของบริษัท ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบัญชีธนาคารของร้านค้า ร้านค้าจะต้องแจ้งให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรในทันที โดยให้รายละเอียดที่ครบถ้วนในการเปลี่ยนแปลงและเหตุผล
11.4 การหักภาษี ณ ที่จ่าย. ในกรณีที่ร้านค้าจดทะเบียนประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคล ในการชำระค่าบริการให้บริษัท ร้านค้าตกลงมอบอำนาจให้บริษัทเป็นผู้ดำเนินการหักภาษี ณ ที่จ่าย สำหรับค่าบริการแทนร้านค้า ตั้งแต่รายการรับชำระเงินรายการแรกที่ร้านค้าเริ่มใช้บริการการชำระเงินของบริษัท รวมทั้งให้บริษัทออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย และลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย พร้อมทั้งยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแทนร้านค้าด้วย
ในกรณีที่ร้านค้าแจ้งขอยกเลิกการเป็นร้านค้ากับบริษัท หรือบริษัทแจ้งขอยกเลิกการให้บริการการชำระเงินแก่ร้านค้า ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะขอยกเลิกและไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ให้ถือว่าเป็นการยกเลิกความยินยอมของร้านค้าที่ให้บริษัทเป็นผู้ดำเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแทนร้านค้าด้วย
12. ทรัพย์สินทางปัญญา
ร้านค้าตกลงและรับทราบว่า ไม่มีข้อความใดในข้อกำหนดของร้านค้า ที่จะก่อให้เกิดการให้สิทธิ กรรมสิทธิ์ หรือประโยชน์ใดๆ หรือสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ หรือเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการการชำระเงิน สิทธิทั้งหมดนั้นเป็นของบริษัทและผู้อนุญาตให้ใช้สิทธิของบริษัท
13. การรักษาข้อมูลความลับ
13.1 เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของข้อ 13 นี้ “ข้อมูลความลับ” หมายถึง
13.1.1 ข้อกำหนดและเงื่อนไขของร้านค้า
13.1.2 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทซึ่งโดยลักษณะเป็นความลับ หรือบริษัทได้กำหนดให้เป็นความลับ
13.1.3 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทซึ่งร้านค้าทราบหรือมีเหตุอันควรทราบหรือเชื่อว่าเป็นความลับ
13.1.4 ข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ ที่บริษัทได้ให้ไว้กับร้านค้า และ
13.1.5 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทรวมถึงการตลาดและแผนส่งเสริมการขายหรือสินค้าอื่นหรือข้อมูลของบริษัท ข้อมูลการวิจัย และการวิเคราะห์ ความลับทางการค้า การพัฒนาธุรกิจ และกลยุทธ์การตลาด ข้อมูลการซื้อขาย การบริหารองค์กร แผนธุรกิจ สัญญากับบุคคลอื่น รายชื่อผู้ชำระเงิน ข้อมูลการเงิน ข้อมูลที่เป็นส่วนหนึ่งหรือเกี่ยวข้องกับสถานะทางการเงินและทรัพย์สินหรือความรับผิดของบริษัท
13.2 ร้านค้าจะต้องรักษาข้อมูลความลับของบริษัทเป็นความลับ และจะต้องไม่ใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ นอกไปจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ และจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลความลับของบริษัทต่อบุคคลใดๆ และจะต้องกระทำการตามสมควรเพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือเปิดเผย
13.3 ข้อ 13.2 จะไม่บังคับใช้กับข้อมูลดังต่อไปนี้
13.3.1 ข้อมูลใดๆ ซึ่งเป็นหรือกลายเป็นส่วนข้อมูลสาธารณะโดยไม่ได้มีการกระทำใดหรือเกี่ยวข้องกับคู่สัญญาที่ได้รับข้อมูล
13.3.2 ข้อมูลใดๆ ที่คู่สัญญาฝ่ายที่ได้รับข้อมูลได้รับจากบุคคลภายนอกผู้ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่รักษาความลับต่อคู่สัญญาที่เปิดเผยข้อมูล
13.3.3 ข้อมูลใดๆ ซึ่งได้พัฒนาโดยอิสระจากคู่สัญญาฝ่ายที่รับข้อมูลก่อนที่จะได้รับข้อมูลความลับจากคู่สัญญาฝ่ายที่เปิดเผยข้อมูลโดยปราศจากการเข้าถึงหรือใช้ข้อมูลความลับหลังจากได้รับ โดยมีหลักฐานเป็นบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรของคู่สัญญาฝ่ายที่รับข้อมูล
13.3.4 ข้อมูลความลับใดๆ ซึ่งต้องเปิดเผยตามกฎหมายใดๆ ที่บังคับใช้ โดยที่ร้านค้าจะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัท ตามรูปแบบและเนื้อหาในการเปิดเผย เท่าที่จำเป็นใน
การปฏิบัติตามกฎหมายที่บังคับใช้นั้น และจะต้องดำเนินการที่จำเป็นให้ผู้รับข้อมูลความลับได้ดำเนินการรักษาข้อมูลความลับให้เป็นความลับภายใต้เงื่อนที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดนี้ และ
13.3.5 ข้อมูลความลับใดๆ ซึ่งต้องการที่จะเปิดผยตามคำสั่งใดที่ออกโดยศาลหรือองค์คณะที่มีเขตอำนาจ หรือเกี่ยวข้องกับการดำเนินการทางกฎหมายใดๆ ระหว่างคู่สัญญา
13.4 ร้านค้ารับทราบและตกลงว่าการฝ่าฝืนเงื่อนไขตามข้อ 13 จะส่งผลให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถเยียวยาได้ต่อบริษัท ซึ่งความเสียหายนั้นอาจจะไม่มีการเยียวยาที่เพียงพอ และนอกเหนือจากการบรรเทาความเสียหาย และ/หรือการเยียวยาตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิที่จะบรรเทาความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนหน้าที่ที่เกิดขึ้น หรืออาจจะเกิดขึ้นตามข้อกำหนดของร้านค้า (ไม่ว่าเป็นการคุ้มครองชั่วคราว การชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง และการบรรเทาความเสียหายอย่างอื่น) โดยไม่จำเป็นที่จะต้องกำหนดรูปแบบการประกัน และร้านค้าจะต้องไม่คัดค้านการบรรเทาความเสียหายดังกล่าวไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ
13.5 ข้อ 13 นี้จะมีผลบังคับใช้ต่อไป แม้ว่าข้อกำหนดของร้านค้านี้จะครบกำหนดอายุสัญญา มีการระงับ หรือมีการบอกเลิกไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
14. ข้อมูลส่วนบุคคล
14.1 เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของข้อ 14 นี้
14.1.1 "ข้อมูลส่วนบุคคล" หมายถึงข้อมูลไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตามเกี่ยวกับบุคคลผู้ซึ่งระบุตัวตนได้จากข้อมูลนั้น หรือข้อมูลอื่นซึ่งคู่สัญญามีหรือมีแนวโน้มที่จะเข้าถึงข้อมูล
14.1.2 "การประมวลผล" เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง
(1) ดำเนินการปฏิบัติการใดๆ หรือชุดปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลและรวมถึงการบันทึก การครอบครอง การบริหารจัดการ การปรับปรุง/การเปลี่ยนแปลง การเรียกคืน การวม การส่ง หรือการลบ/การทำลาย และ/หรือ
(2) คัดลอก ใช้ เข้าถึง แสดง ทำงาน จัดเก็บ ตรวจสอบ จัดการ เปลี่ยนแปลง ดัดแปลง แปล แยกส่วนประกอบไปไว้อีกงานหนึ่ง ประมวลผล หรือรวบรวมเข้าด้วยกัน หรือจัดทำขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของงาน และ/หรือ
(3) อนุญาตให้บุคคลอื่นดำเนินการตาม (ก) และ/หรือ (ข)
14.2 ร้านค้าตกลงและรับรองต่อบริษัทว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ ที่ร้านค้าได้รับ ไม่ว่าเกี่ยวข้องกับการบริการการชำระเงินหรือกรณีอื่นใด (“ข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท”)
14.2.1 ร้านค้าจะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับและกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลและข้อกำหนดอื่นใดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่บริษัทมีหรือจะมีหน้าที่ตามกฎหมายนั้นในการกำหนดให้ร้านค้าปฏิบัติตาม ตามที่บริษัทจะแจ้งให้ร้านค้าทราบเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นคราวๆ ไป
14.2.2 โดยไม่เป็นการกระทบต่อกฎเกณฑ์ทั่วไปตามที่กล่าวข้างต้น ร้านค้าจะต้องให้ความแน่ใจว่าจะได้จัดหามาตรฐานการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทซึ่งเทียบได้กับการคุ้มครองตามข้อบังคับและกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ ทั้งนี้รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ
(1) วัตถุประสงค์: ร้านค้าจะต้องเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทเพื่อวัตถุประสงค์ซึ่งบริษัทได้ให้ข้อมูลส่วนบุคคลไว้อย่างเคร่งครัด และไม่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น
(2) การใช้และเปิดเผย: ร้านค้าจะต้องใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทในลักษณะ และเท่าที่ได้รับอนุญาตตามข้อกำหนดของร้านค้าเท่านั้น และปฏิบัติตามข้อจำกัดทั้งหมดในการใช้หรือเปิดเผยตามที่บริษัทอาจจะแจ้งให้ร้านค้าทราบ
(3) ความถูกต้อง: ร้านค้ารับรองว่าจะใช้ความพยายามเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทนั้นถูกต้องและสมบูรณ์ ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทนั้นอาจจะ (1) ถูกใช้โดยร้านค้าในการตัดสินใจซึ่งมีผลกระทบต่อบุคคล ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทนั้นเกี่ยวข้อง หรือ (2) ถูกเปิดเผยโดยร้านค้าต่อองค์กรอื่น (เฉพาะในกรณีที่ได้รับอนุญาตภายใต้ข้อกำหนดของร้านค้า)
(4) การป้องกัน: ร้านค้าจะต้องปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทที่อยู่ในครอบครองหรือภายใต้การควบคุมของร้านค้า โดยจัดให้มีการรักษาความปลอดภัยตามสมควร เพื่อที่จะป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การเก็บ การใช้ การเปิดเผย การคัดลอก การปรับเปลี่ยน การลบทิ้ง หรือความเสี่ยงที่คล้ายคลึงกัน
(5) การเก็บรักษา: ร้านค้าจะต้องหยุดเก็บเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท หรือยกเลิกวิธีการใดๆ ที่ข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทจะเกี่ยวข้องกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทันทีที่มีเหตุผลอันสมควรจะพิจารณาได้ว่า (1) วัตถุประสงค์ที่ระบุไว้นั้นไม่ได้มีอยู่อีกต่อไปที่จะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท และ (2) การเก็บข้อมูลนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไปสำหรับวัตถุประสงค์ทางกฎหมายหรือทางธุรกิจ
(6) การโอนข้ามประเทศ: ห้ามมิให้ร้านค้าโอนข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ ไปในเขตใดๆ ก็ตาม นอกประเทศไทย เว้นแต่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัท
(7) นโยบาย: ร้านค้าจะต้องแน่ใจว่าลูกจ้าง ตัวแทนและผู้รับจ้างช่วง ซึ่งอาจจะได้รับหรือเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทนั้น รับทราบหน้าที่ตามที่ระบุไว้ในข้อ14 นี้ และตกลงที่จะผูกพันเช่นเดียวกัน
14.3 ในกรณีที่ร้านค้าทราบว่ามีการเก็บ การใช้ การเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตตามข้อกำหนดของร้านค้า หรือมีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทโดยมิชอบ หรือการละเมิดการรักษาความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของร้านค้า ซึ่งอาจจะละเมิดการรักษาความปลอดภัยหรือความสมบูรณ์ของข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท หรือมีผลกระทบที่เป็นผลร้ายในสาระสำคัญต่อบริษัท หรือนำไปสู่ข้อเรียกร้อง การกระทำหรือการดำเนินการใด หรือหากร้านค้าทราบหรือสงสัยว่าข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทนั้นอาจจะมีความเสี่ยง หรือมีความเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผยหรือได้รับมาจากบุคคลผู้ไม่มีอำนาจ ร้านค้าจะต้องแจ้งให้บริษัททราบ และให้ความร่วมมือกับบริษัทอย่างเต็มที่ในการเยียวยาเรื่องดังกล่าวให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการสืบสวนเรื่องความปลอดภัยของบริษัทตามที่จำเป็นด้วยค่าใช้จ่ายของร้านค้า
14.4 ร้านค้าตกลงและรับรองต่อบริษัทว่า ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ไว้กับบริษัท ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับบริการหรือเรื่องอื่นใดก็ดี
14.4.1 ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้อยู่
14.4.2 ได้แจ้งและได้รับความยินยอมจากบุคคลทุกคนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้กับบริษัท และเพื่อให้บริษัทรวบรวม ใช้ และเปิดเผยเพื่อประโยชน์ตามจุดมุ่งหมายในนโยบายรักษาความเป็นส่วนตัวของบริษัท รวมถึงได้รับความยินยอมตามที่กฎหมายการชำระเงินที่เกี่ยวข้องกำหนด
15. ข้อพิพาท
15.1 ร้านค้าจะต้องไม่ทำให้บริษัทเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทหรือข้อเรียกร้องที่มีระหว่างผู้ชำระเงินกับร้านค้า ร้านค้าจะต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการจัดการกับข้อร้องเรียนจากผู้ชำระเงินในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการที่ได้ทำธุรกรรม และได้ชำระเงินผ่านบริการการชำระเงิน ในลักษณะที่ร้านค้าได้จัดหาสินค้า/บริการดังกล่าว ตามรูปแบบการชำระเงินอื่นใดที่ร้านค้ายอมรับ
15.2 ในกรณีที่มีข้อพิพาทหรือข้อเรียกร้องไม่ว่าเรื่องใดเกิดขึ้นจากการใช้บริการการชำระเงินโดยร้านค้า เอกสารและบันทึกข้อมูลในรา’ยละเอียดของธุรกรรมที่ร้านค้าและบริษัทมีอยู่ ตามที่กำหนดให้เก็บรักษาไว้ตามข้อ 3 จะนำมาใช้เพื่อการอ้างอิง และจะใช้เป็นพื้นฐานเดียวกันในการระงับข้อพิพาทหรือเรียกร้องดังกล่าว ในกรณีที่มีความแตกต่างระหว่างบันทึกข้อมูลของบริษัทกับของร้านค้า บริษัทและร้านค้าจะต้องร่วมกันสืบหาสาเหตุความแตกต่าง โดยใช้ข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายแล้วแต่ความเหมาะสม โดยจะมีการปรับปรุงตามสมควร (หากจำเป็น) แต่ถ้าหากข้อแตกต่างนั้นไม่สามารถนำมาปรับเข้ากันได้ ให้นำข้อมูลของบริษัทมาใช้
15.3 ร้านค้าตกลงว่า ในกรณีที่ได้เรียกเก็บเงินจากผู้ชำระเงินหรือผู้ที่กระทำการแทนผู้ชำระเงินหลายครั้ง สำหรับธุรกรรมใดๆ ไม่ว่าผ่านทางการให้บริการการชำระเงินหรือผ่านทางระบบการจ่ายเงินใดๆ ที่มีอยู่ ร้านค้าจะต้องคืนเงินหรือเบิกเงินคืนให้กับผู้ชำระเงิน สำหรับจำนวนเงินที่มีการชำระเงินเกินจำนวน และร้านค้าต้องชดใช้เงินเต็มจำนวนให้กับบริษัท และดำเนินการให้บริษัทได้รับการชดใช้ในกรณีที่ถูกเรียกร้องในเรื่องที่เกี่ยวกับการชำระเงินเกินจำนวนนั้น
16. คำรับรอง/การชดใช้ความเสียหาย/ความรับผิด
16.1 ร้านค้าตกลงที่รับผิดชอบต่อบริษัทในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่ร้านค้าไม่ปฏิบัติตามหรือละเมิดข้อกำหนดของร้านค้าฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงกรณีดังที่ได้ระบุไว้ด้านล่าง และ/หรือป้องกันและปกป้องบริษัท รวมถึงบริษัทแม่ บริษัทในเครือ เจ้าหน้าที่ กรรมการ ตัวแทน กิจการร่วมค้า ลูกจ้าง ผู้ผลิต ของบริษัท ("ผู้ได้รับการชดใช้") ให้ปลอดจากข้อเรียกร้องหรือการเรียกร้องสำหรับความเสียหาย ค่าสินไหมทดแทน ค่าปรับ ค่าใช้จ่าย หรือความรับผิด (รวมถึงค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย) ซึ่งผู้ได้รับการชดใช้นั้นได้รับหรือต้องเสียหายการที่ร้านค้าไม่ปฏิบัติตามหรือละเมิดข้อกำหนดของร้านค้า และร้านค้าตกลงยินยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ค่าเสียหาย ค่าปรับ ค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใดๆ สำหรับความเสียหายที่เกิดจากการที่ร้านค้าไม่ปฏิบัติตามหรือละเมิดข้อกำหนดของร้านค้า ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงกรณีดังที่ได้ระบุไว้ด้านล่าง เมื่อบริษัทได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนแก่ร้านค้าโดยไม่ชักช้าหรือภายในระยะเวลาที่บริษัทกำหนด แล้วแต่กรณี
16.1.1 ร้านค้า หรือลูกจ้างของร้านค้า หรือตัวแทนของร้านค้า ได้ทำผิดข้อตกลงและ/หรือนโยบาย
16.1.2 การยื่นข้อเรียกร้องต่อบริษัทจากผู้ชำระเงิน ผู้ออกบัตรเครดิต สถาบันการเงินอื่น หรือบุคคลภายนอกอื่น ที่เกิดจากการชำระเงินตามธุรกรรมในการขายสินค้า/บริการ ไม่ว่าจะเป็นการที่บริษัทได้ดำเนินการและโอนจากบริษัทไปให้ร้านค้า ผ่านการให้บริการการชำระเงินไปแล้วหรือไม่ก็ตาม
16.1.3 ข้อเรียกร้องอื่นใดที่มีต่อบริษัท อันเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
16.1.4 การบังคับ หรือการพยายามบังคับตามข้อกำหนดของร้านค้า (ซึ่งรวมถึงการชดใช้หรือพยายามที่จะชดใช้จำนวนเงินใดๆ ที่เป็นหนี้บริษัทตามข้อกำหนดของร้านค้า)
16.1.5 การปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ใดๆ กับร้านค้า (รวมถึงค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับบุคคลภายนอกที่เสนอโดยบริษัท หรือได้รับคำสั่งจากบริษัทเพื่อวัตถุประสงค์นี้)
16.1.6 ธุรกรรมใดๆ เกี่ยวกับสินค้า/บริการที่นำเสนอโดยร้านค้า (รวมถึงธุรกรรมซึ่งได้พบในภายหลังว่าเป็นการฉ้อโกง) หรือ
16.1.7 การดำเนินการอื่นใดๆ ระหว่างร้านค้ากับผู้ชำระเงิน เว้นแต่ ในแต่ละกรณี ถ้ามีสาเหตุมาจาก หรือเกิดจากความประมาทของบริษัทหรือการฝ่าฝืนข้อกำหนดของร้านค้าใดๆ ที่กระทำโดยบริษัท
16.2 เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัย ในกรณีที่มีผู้ชำระเงินยื่นข้อเรียกร้องต่อบริษัท ผู้ออกบัตรเครดิต หรือบุคคลภายนอกคนใดก็ตาม บริษัทมีสิทธิที่จะพิจารณาทำความตกลงเพื่อยุติข้อเรียกร้องหรือพิจารณาดำเนินการอื่นใดตามที่เห็นควรฝ่ายเดียว
16.3 ในกรณีที่ร้านค้าเป็นห้างหุ้นส่วน หุ้นส่วนแต่ละคนจะต้องร่วมกันรับผิดตามข้อกำหนดของร้านค้า
16.4 การให้บริการการชำระเงินของบริษัทเป็นการให้บริการในลักษณะ "ตามที่เป็นอยู่นั้น" และ "ตามที่มีอยู่" บริษัทและผู้ได้รับการชดใช้ไม่รับประกัน ไม่รับรอง หรือไม่ให้คำมั่นใดๆ (ไม่ว่าโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย) เกี่ยวกับการให้บริการการชำระเงิน และเนื้อหาใดๆ ในเว็บไซต์ของบริการการชำระเงิน ทั้งนี้ การรับประกัน การรับรอง หรือคำมั่นทั้งหมด รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ การรับประกัน การรับรอง คำมั่นใน ความถูกต้องเที่ยงตรง ความน่าเชื่อถือ สภาพทางการค้า ความพึงพอใจ คุณภาพ ความเหมาะสม สำหรับวัตถุประสงค์ใดโดยเฉพาะ และการไม่ถูกละเมิดนั้น ได้ถูกยกเว้นไว้โดยชัดแจ้ง หรือถือเป็นการปฏิเสธข้อเรียกร้อง อย่างสูงสุดตามที่กฎหมายจะอนุญาตให้ทำได้ บริษัทสงวนสิทธิที่จะเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงระบบหรือฟังก์ชั่นการใช้งานที่เกี่ยวกับการให้บริการการชำระเงินทั้งหมดหรือบางส่วน ตามที่บริษัทเห็นสมควร
16.5 เท่าที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ บริษัทและผู้ได้รับการชดใช้จะไม่รับผิดชอบต่อความสูญหายหรือเสียหายใดๆ ที่เป็นความสูญหายหรือความเสียหายโดยอ้อม ความเสียหายจากการผิดสัญญา ความเสียหายพิเศษ ความเสียหายเชิงลงโทษ ความเสียหายต่อเนื่อง ค่าเสียหายที่เป็นการลงโทษ (รวมถึงแต่ไม่จำกัดแต่เพียง ความสูญเสียทางธุรกิจหรือโอกาสทางธุรกิจ ค่าความนิยม รายได้ กำไร ข้อมูล หรือประโยชน์ทางเศรษฐกิจอื่น) ซึ่งร้านค้าอาจจะได้รับ (หรือบุคคลอื่นใดที่เรียกร้องภายใต้ชื่อของร้านค้า หรือผ่านทางร้านค้า) ซึ่งเป็นความสูญหายหรือเสียหายที่เกี่ยวข้องกับ หรือเกิดจากการเข้าถึง และ/หรือการใช้บริการการชำระเงิน/เว็บไซต์ของบริการการชำระเงิน โดยร้านค้า ไม่ว่าจะ (ก) เกิดจากสัญญา การละเมิด (รวมทั้งความประมาทเลินเล่อ) ไม่ว่าโดยลักษณะใดก็ตาม (ข) ความสูญหายหรือเสียหายนั้นสามารถคาดหมายได้ และ/หรือ (ค) บริษัทนั้นได้รับการแจ้งล่วงหน้าถึงความเป็นไปได้ในเรื่องดังกล่าว
16.6 การปฏิเสธความรับผิดที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ และข้อยกเว้นตามข้อ 16.5 ข้างต้น จะบังคับใช้ได้อย่างเต็มที่ตามที่กฎหมายอนุญาต แต่จะไม่ใช้กับความรับผิดใด หรือการสูญหายหรือเสียหายที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังต่อไปนี้
16.6.1 ความตาย หรือการบาดเจ็บของบุคคล ที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อของบริษัท
16.6.2 การฉ้อโกง หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ
16.6.3 ความรับผิดอื่นใดซึ่งไม่สามารถยกเว้นได้ตามกฎหมาย
16.7 ความรับผิดทั้งหมดของบริษัท ไม่ว่าในทางสัญญา หรือละเมิด (รวมถึงความประมาท) หรือกรณีอื่นใด และไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของร้านค้า หรือสัญญาหลักประกัน จะจำกัดความรับผิดไว้เพียงค่าบริการรวมที่บริษัทได้เก็บจากร้านค้า สำหรับธุรกรรมหรือการบริการการชำระเงินที่ได้ให้บริการ ภายในระยะเวลา 12 (สิบสอง) เดือน ก่อนวันที่เกิดความรับผิดใดๆ ที่เกี่ยวข้อง
17. ระยะเวลาและการบอกเลิกสัญญา
17.1 ข้อกำหนดของร้านค้า จะเริ่มต้น ณ วันที่ร้านค้าได้ยื่นคำขอเพื่อสมัครขอใช้บริการการชำระเงินหรือข้อกำหนดของร้านค้า (แล้วแต่กรณี) หรือวันที่ร้านค้าลงนามเข้าผูกพันข้อกำหนดของร้านค้านี้ แล้วแต่ว่าวันใดเกิดขึ้นก่อน ภายใต้บังคับการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนดตามข้อ 10.4 และ ข้อ 17.2 ถึงข้อ 17.4 (รวมกัน) ข้อกำหนดของร้านค้าฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้จนกว่าที่จะมีการบอกเลิกสัญญาโดยคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายหนึ่งล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือนปฏิทิน ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขว่า ร้านค้าไม่มีสิทธิที่จะส่งหนังสือบอกกล่าวเพื่อบอกเลิกสัญญาจนกว่าจะผ่านพ้นระยะเวลา 12 (สิบสอง) เดือน นับจากวันที่มีการทำธุรกรรมเป็นครั้งแรกตามข้อกำหนดของร้านค้า (เพื่อไม่ให้มีข้อสงสัย จะไม่รวมถึงการทำธุรกรรมใดๆ ที่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดสอบ)
17.2 ในกรณีที่บริษัทได้แจ้งให้ร้านค้าทราบเป็นลายลักษณ์อักษรว่า บริษัทไม่ยอมรับคำขอใช้บริการการชำระเงินของร้านค้า ข้อกำหนดของร้านค้าจะยกเลิกโดยมีผลทันทีเมื่อมีการแจ้งบอกกล่าวแก่ร้านค้า
17.3 โดยไม่คำนึงถึงข้อ 17.1 ข้างต้น บริษัทมีสิทธิที่จะระงับหรือยกเลิกบริการการชำระเงินทั้งหมดหรือบางส่วน หรือยกเลิกข้อกำหนดของร้านค้าทั้งหมดหรือบางส่วน ไม่ว่าในระยะเวลาใดโดยมีผลในทันที โดยการแจ้งให้ร้านค้าทราบ ในกรณีที่บริษัทพบว่า
17.3.1 ร้านค้าได้ละเมิดข้อตกลงที่เป็นสาระสำคัญใดๆ ตามข้อกำหนดของร้านค้า
17.3.2 ร้านค้าไม่ได้ชำระเงินจำนวนใดๆ ตามข้อกำหนดของร้านค้า เมื่อถึงกำหนดชำระแล้ว
17.3.3 บริษัทพิจารณา (โดยมีดุลยพินิจเด็ดขาด) ว่ามูลค่าทั้งหมดของการคืนเงิน และ/หรือการเรียกคืน นั้นไม่สมเหตุผล
17.3.4 ร้านค้าขายสินค้า/บริการซึ่งแตกต่างมากจากที่ได้แสดงไว้ในขั้นตอนที่ยื่นคำขอสมัครไว้กับบริษัท
17.3.5 ร้านค้า นำเข้า ส่งออก ขาย หรือเกี่ยวข้องกับการค้าขายสินค้า/บริการที่ต้องห้าม หรือที่จำกัดการขาย
17.3.6 ร้านค้าแสดงธุรกรรมสินค้า/บริการต่อบริษัท ในกรณีที่ร้านค้าไม่ได้มอบสินค้า/บริการ หรืออุปกรณ์นั้นให้กับผู้ชำระเงินที่เกี่ยวข้องซึ่งคาดหมายโดยมีเหตุอันควรว่าจะได้รับ
17.3.7 ร้านค้ามีหนี้สินล้นพ้นตัว หรือมีการดำเนินการชำระบัญชี เลิกกิจการ ล้มละลาย ถูกพิทักษ์ทรัพย์ มีการจัดสรรแบ่งแยกทรัพย์สิน หรือปิดบริษัท (หรือที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่กล่าวมาไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเขตอำนาจศาลใดๆ ก็ตาม)
17.3.8 ร้านค้ามีการทำหรือเสนอการดำเนินการใดๆ กับเจ้าหนี้ของร้านค้าเป็นการทั่วไป
17.3.9 ในกรณีที่เกิดเหตุขึ้นกับร้านค้า หรือมีเรื่องมาถึงบริษัท ซึ่งบริษัทมีสิทธิโดยเด็ดขาดในการพิจารณาว่าอาจจะมีผลกระทบต่อความสามารถของร้านค้า หรือกระทบต่อความยินดีที่จะปฏิบัติตามหน้าที่หรือความรับผิดใดๆ หรือทั้งหมดของร้านค้าตามข้อกำหนดของร้านค้า
17.3.10 มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสถานการณ์ของร้านค้า (รวมถึงการลดลง หรือเปลี่ยนแปลงสถานะทางการเงินของร้านค้า) หรือลักษณะธุรกิจของร้านค้า หรือในสินค้า/บริการที่ ร้านค้าได้จัดให้ไว้กับผู้ชำระเงิน ซึ่งบริษัทมีสิทธิใช้ดุลยพินิจโดยเด็ดขาดในการพิจารณาว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีผลกระทบต่อการให้บริการการชำระเงินต่อไปของบริษัทหรือต่อความพร้อมของบริษัทในการให้ความสะดวกกับร้านค้า
17.3.11 ร้านค้าหยุดประกอบกิจการ
17.3.12 บริษัทมีดุลยพินิจโดยเด็ดขาดในการพิจารณาว่าความสัมพันธ์กับธุรกิจของร้านค้านั้นทำให้บริษัทมีความเสี่ยงหรือความรับผิดเพิ่มขึ้น
17.3.13 ในกรณีที่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับร้านค้า หรือมีเหตุการณ์ใดมาถึงบริษัทซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร้านค้า หรือเกิดขึ้นมาจากหรือเป็นเหตุต่อเนื่องมาจากธุรกิจของร้านค้า หรือดำเนินธุรกิจของร้านค้า (รวมถึงวิธีการทำการค้าและกิจกรรมส่วนบุคคล) หรือในกรณีที่ร้านค้าเข้าทำธุรกิจการค้าใดหรือมีกิจกรรมส่วนบุคคล ซึ่งบริษัทได้ใช้ดุลยพินิจเด็ดขาดในการพิจารณาแล้วว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง หรืออาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของบริษัท เป็นอันตรายต่อธุรกิจของบริษัท หรืออาจจะเป็นการฉ้อโกงหรือการกระทำความผิดอาญาฐานอื่น หรือต้องสงสัยว่าเป็นการฉ้อโกงหรือการกระทำความผิดทางอาญาฐานอื่น
17.3.14 ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับบุคคล บริษัท ห้างร้าน องค์กรที่ยังไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้ง (แต่ละ "บุคคล" และเรียกรวมว่า "บุคคลหลายคน") หรือกลุ่มบุคคลที่ร่วมกระทำการตามข้อตกลงหรือตามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ) และมีผลเป็นการควบคุมร้านค้า
17.3.15 มีการข่มขู่ว่าจะมีการเรียกร้องใดๆ หรือกระทำการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของร้านค้า ต่อร้านค้า หรือโดยร้านค้าหรือบริษัท
17.3.16 มีการเรียกร้องใดๆ ต่อบริษัท โดยบุคคลภายนอกที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับร้านค้า
17.3.17 บริษัทได้รับคำร้องขอหรือคำสั่งจากบริษัทบัตรเครดิต (ตัวอย่างเช่น VISA หรือ MasterCard เป็นต้น) ผู้ออกบัตรเครดิต ผู้ได้รับบัตรเครดิต ธนาคารอื่น หรือสถาบันการเงินอื่น ให้บริษัทดำเนินการใดๆ ดังกล่าว
17.3.18 ร้านค้าได้ดำเนินการทำการค้าซึ่งบริษัทไม่ยินยอมด้วย
17.3.19 บริษัทมีสิทธิในการบอกเลิกสัญญาใดๆ กับร้านค้า
17.4 ร้านค้าตกลงที่จะรับดำเนินการตามธุรกรรมและจัดส่งสินค้า/บริการให้แก่ผู้ชำระเงินต่อไปตามที่กำหนดในข้อกำหนดฉบับนี้จนกว่าจะถึงวันที่สัญญาฉบับนี้สิ้นสุดลง
18. ผลของการบอกเลิกสัญญา
18.1 เมื่อมีการบอกเลิกข้อกำหนดของร้านค้า สิทธิและหน้าที่ทั้งหมดของคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสิ้นสุดลงโดยมีผลในทันที เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
18.1.1 ข้อกำหนดหรือเงื่อนไขใดในข้อกำหนดของร้านค้านี้ ได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายว่า ให้มีผลบังคับต่อไปหลังจากสัญญาสิ้นสุด (เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยและไม่ถือเป็นข้อจำกัด ข้อกำหนดหรือเงื่อนไขดังกล่าวให้รวมถึง ข้อ 8.5, 9, 10, 12 ถึงข้อ 20 (รวม)) และ
18.1.2 การบอกเลิกสัญญาจะไม่มีกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ที่เกิดขึ้นมาก่อนและมีอยู่แล้วของคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามข้อกำหนดของร้านค้านี้ ณ วันที่สัญญาสิ้นสุด
18.2 เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาข้อกำหนดของร้านค้า หรือไม่ว่าในระยะเวลาใดๆ ภายหลังจากที่ข้อกำหนดของร้านค้านี้สิ้นสุดลง ร้านค้าจะชำระเงินทั้งหมดที่ค้างชำระไว้กับบริษัทตามข้อกำหนดของร้านค้านี้ในทันที และเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย บริษัทยังคงมีสิทธิที่จะยึดหน่วงการจ่ายเงินตามข้อ 4.4 ข้อ 8.3 ถึงข้อ 8.5 และเรียกให้ชดใช้จำนวนเงินดังกล่าวตามที่ระบุไว้ในข้อ 5 และ 8.5
19. ความสัมพันธ์กับข้อตกลงและเงื่อนไขอื่น
19.1 นอกจากข้อกำหนดของร้านค้าฉบับนี้ การใช้บริการการชำระเงินของร้านค้านั้นอาจอยู่ภายใต้บังคับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการการชำระเงินอื่นๆ ของบริษัท ซึ่งร้านค้าได้เข้าผูกพันตนกับบริษัท (ถ้ามี)
19.2 เว้นแต่ได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งในข้อกำหนดและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องอื่นนั้น ในกรณีที่มีความขัดแย้งระหว่างข้อกำหนดของร้านค้ากับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องฉบับอื่น ให้ข้อกำหนดของร้านค้ามีผลบังคับใช้
20. ข้อกำหนดทั่วไป
20.1 สัญญาทั้งฉบับ โดยไม่กระทบสิทธิตามข้อ 19 ข้างต้น ข้อกำหนดของร้านค้าก่อให้เกิดเป็นสัญญาทั้งฉบับและความเข้าใจร่วมกันระหว่างคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องดำเนินการ และมีผลบังคับใช้แทนที่ และเป็นการยกเลิกคำรับรองอื่นๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น ข้อตกลง ความเข้าใจ และข้อตกลงอื่นที่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของร้านค้า ซึ่งได้ทำขึ้นระหว่างคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่ว่าโดยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก่อนวันทำข้อกำหนดของร้านค้านี้
20.1.1 คู่สัญญาแต่ละฝ่ายรับรองว่า จะไม่อ้างอิงถึง คำรับรอง การจัดเตรียม ความเข้าใจร่วมกัน หรือข้อตกลง (ไม่ว่าเป็นลายลักษณ์อักษรหรือโดยวาจา) ที่ไม่ได้ระบุไว้หรืออ้างถึงไว้ในข้อกำหนดของร้านค้าโดยชัดแจ้ง การเยียวยาที่คู่สัญญาจะใช้ได้เพียงอย่างเดียวเกี่ยวกับคำรับรอง การจัดการหรือความเข้าใจหรือข้อตกลงดังกล่าวนั้นคือการผิดสัญญาตามข้อกำหนดของร้านค้านี้
20.1.2 ไม่มีข้อความใดในข้อ 20 นี้ ที่ยกเว้นความรับผิดในเรื่องการฉ้อโกง
20.2 การแก้ไขและปรับเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดใดในข้อกำหนดของร้านค้านี้ หรือความยินยอมโดยคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ยกเลิกข้อกำหนดใดในข้อกำหนดของร้านค้านี้ จะไม่มีผลบังคับ เว้นแต่จะได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษรและลงนามโดยคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง และความยินยอมเช่นว่านั้นจะมีผลบังคับใช้เฉพาะเรื่องและเฉพาะวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เท่านั้น และโดยไม่คำนึงถึงข้อความก่อนหน้านี้ ร้านค้าตกลงว่า บริษัทมีสิทธิที่จะแก้ไขข้อกำหนดของร้านค้านี้ในเวลาใดก็ได้ โดยทำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือมีหนังสือบอกกล่าวทางอิเล็กทรอนิกส์ไปยังร้านค้าไม่น้อยกว่า 7 (เจ็ด) วันก่อนมีผลบังคับใช้ตามที่ได้แก้ไข
20.3 การแยกส่วนบังคับ ในกรณีที่ศาลหรือหน่วยงานทางปกครองที่มีเขตอำนาจใดๆ พบว่าข้อกำหนดใดๆ นั้นผิดกฎหมาย ไม่สมบูรณ์ หรือไม่สามารถบังคับใช้ได้
20.3.1 การผิดกฎหมาย ความไม่สมบูรณ์ หรือการไม่สามารถบังคับได้นั้นจะไม่มีผลกระทบต่อข้อกำหนดอื่นใดในข้อกำหนดของร้านค้า ซึ่งจะยังคงมีผลบังคับใช้เต็มที่ และ
20.3.2 ในกรณีที่ข้อกำหนดนั้นสิ้นผลที่จะเป็นการผิดกฎหมาย ไม่สมบูรณ์ หรือไม่สามารถบังคับใช้ได้ หากข้อกำหนดบางส่วนนั้นได้รับการปรับเปลี่ยนหรือถูกตัดออกไป ข้อกำหนดดังกล่าวนั้นจะบังคับใช้ได้ตามที่มีการปรับเปลี่ยนนั้นน้อยที่สุดหรือถูกตัดออกเท่าที่จำเป็นเพื่อให้ถูกกฎหมาย สมบูรณ์ หรือบังคับใช้ได้
20.4 การโอนสิทธิ ข้อกำหนดของร้านค้า และสิทธิและหน้าที่ของบริษัทตามข้อกำหนดนี้อาจจะมอบ โอน เปลี่ยนแปลง หรือจัดการโดยประการอื่นใดได้โดยบริษัท โดยบริษัทจะแจ้งร้านค้าเป็นลายลักษณ์อักษร และจะมีผลผูกพันต่อประโยชน์ของผู้รับช่วงสิทธิ และผู้รับโอนสิทธิของบริษัท ทั้งนี้ ร้านค้าจะต้องทำทุกอย่างที่จำเป็นในการให้ความช่วยเหลือต่อการมอบต่อ โอน และเปลี่ยนแปลง หรือจัดการกับสิทธิดังกล่าว ข้อกำหนดของร้านค้า และสิทธิและหน้าที่ทั้งหมดของร้านค้าตามข้อกำหนดของร้านค้านี้มีผลเป็นการเฉพาะตัวของร้านค้า และร้านค้าจะไม่มอบต่อ โอน ให้อนุญาตช่วง หรือทำสัญญาช่วงสิทธิและหรือหน้าที่ให้กับบุคคลภายนอกใดๆ โดยปราศจากความยินยอมของบริษัทเป็นลายลักษณ์อักษร
20.5 การบอกกล่าว เว้นแต่กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นไว้ในข้อกำหนดนี้ การบอกกล่าวใดๆ ของบริษัทไปยังร้านค้าภายใต้ข้อกำหนดนี้จะต้อง
20.5.1 ทำเป็นลายลักษณ์อักษรและเป็นภาษาไทยและ/หรือภาษาอังกฤษ และส่งมอบด้วยบุคคล ทางจดหมายไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือโดยการส่งโทรสาร และส่งไปยังที่อยู่สุดท้ายหรือเลขโทรสารที่ร้านค้าได้ให้ไว้กับบริษัท และ
20.5.2 ถือว่าได้รับเมื่อ (ก) ในกรณีที่เป็นจดหมาย ณ เวลาที่มีการส่งมอบถึงมือตามที่อยู่นั้น หรือ 2 (สอง) วันหลังจากที่ได้ส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ และ (ข) ในกรณีที่เป็นไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ถือว่าได้รับในวันทำการแรกนับถัดจากวันที่ส่งมอบหรือมีการส่ง โดยจะต้องไม่มีเอกสารแสดงว่าการส่งดังกล่าวไม่สำเร็จส่งกลับไปที่ผู้ส่ง
20.6 การไม่สละสิทธิ การละเว้น หรือการล่าช้าในส่วนของบริษัทในการใช้สิทธิใดๆ ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นการสละสิทธิที่มีตามข้อกำหนดของร้านค้านี้
20.7 สิทธิของบุคคลภายนอก บุคคลซึ่งไม่ได้เป็นคู่สัญญาในข้อกำหนดของร้านค้า ไม่มีสิทธิตามข้อกำหนดของร้านค้า ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไทย ในการที่จะบังคับตามข้อกำหนดใดๆ ของข้อกำหนดของร้านค้านี้
20.8 คำแปลข้อตกลง คำแปลใดๆ ของข้อกำหนดของร้านค้านี้ มีไว้เพียงเพื่อความสะดวกของร้านค้า และไม่มีเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดในข้อกำหนดของร้านค้า ในกรณีที่มีความขัดแย้งระหว่างข้อกำหนดของร้านค้าฉบับภาษาไทยและฉบับภาษาอื่น ให้ฉบับภาษาไทยมีผลบังคับใช้
20.9 กฎหมายที่บังคับใช้กับสัญญาและเขตอำนาจศาล รูปแบบ โครงสร้าง การปฏิบัติตามสัญญา ความสมบูรณ์ และทุกประเด็นที่เกี่ยวกับข้อกำหนดของร้านค้าฉบับนี้ จะบังคับใช้ตามกฎระเบียบและกฎหมายของประเทศไทย และคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะอยู่ภายใด้เขตอำนาจของศาลไทยเท่านั้น โดยข้อตกลงดังกล่าวไม่อาจเพิกถอนได้
20.10 ข้อกำหนดของร้านค้าฉบับนี้ได้รับการแก้ไขและปรับเปลี่ยนครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567